พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงก่อตั้งโครงการหลวง ปี พ.ศ. 2512 จึงได้เริ่มมีการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวเขาปลูกพืชเมืองหนาวเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และทรงมีพระราชวินิจฉัยต่อการวิจัยและส่งเสริมการปลูกกาแฟอราบิก้า เพื่อเป็นรายได้แทนการปลูกพืชเสพติด
การเสด็จทอดพระเนตรสวนกาแฟของเกษตรกรบ้านหนองหล่ม ดอยอินทนนท์ ด้วยพระบาทในพื้นที่ยากลำบากนั้น ทรงรับสั่งว่า “คุ้มที่ทรงเหนื่อยเพราะชาวบ้านดีใจที่เสด็จฯ และทำให้เขาเชื่อว่ากาแฟนี้ดี ควรปลูก ข้อที่สำคัญขึ้นไปอีกก็คือ ทางราชการให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งขึ้งไปอีก จนทำให้โครงการหลวงมีเมล็ดพันธุ์กาแฟอะราบิก้าซึ่งโครงการใดๆ ก็ตามในประเทศไทย จำต้องนำเอาไปใช้ ถ้าจะให้ปลูกได้สำเร็จ”
(บทพระราชนิพนธ์ของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี จากหนังสือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและโครงการหลวง)
เก็บเกี่ยวกาแฟ
เก็บเกี่ยวกาแฟ
กาแฟโครงการหลวง 100% Arabica Coffee
ความสำคัญของกาแฟอราบิก้า
ด้านเศรษฐกิจ “กาแฟอราบิก้า” เป็นพืชที่โครงการหลวงส่งเสริมให้เป็นพืชสร้างรายได้และทดแทนฝิ่น มีศักยภาพด้านตลาด ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านสิ่งแวดล้อม กาแฟเป็นพืชยืนต้น และปลูกร่วมกับระบบวนเกษตร (Agroforestry) บนพื้นที่สูง
ระดับความสูงของพื้นที่เพาะปลูกมีผลต่อรสชาติกาแฟ
กาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าโดยทั่วไปชอบพื้นที่เพาะปลูกที่มีความสูง จากระดับทะเลปานกลาง 1,800 ฟุต – 6,300 ฟุต (หรือความสูง 548 เมตร – 1,920 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง) ที่มีภูมิอากาศที่เย็น มีความลาดเอียงไม่เกิน 45%
สภาพภูมิอากาศ : มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 15 - 25 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60
แหล่งน้ำ : อาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี มีการกระจายของฝน 5 - 8 เดือน มีแหล่งน้ำสะอาดและมีปริมาณพอที่จะให้น้ำได้ตลอดช่วงฤดูแล้ง
ความสำเร็จของกาแฟอาราบิก้า
โครงการหลวง
- พื้นที่ปลูก 22 ศูนย์ 8,820 ไร่ เกษตรกร 1,598 ราย ระบบ GAP
- ผลผลิตกาแฟกะลาปีละ 800 ตัน มูลค่าเงินคืนเกษตรกร ปีละ 90 ล้านบาท
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
- พื้นที่ปลูก 22 ศูนย์ 5,624 ไร่ เกษตรกร 2,345 คน ได้รับการรับรองมาตรฐาน
- GAP: พื้นที่ 2,567.73 ไร่
- Organic: พื้นที่ 332.97 ไร่
- ผลผลิตกาแฟกะลาปีละ 757.6 ตัน รายได้เกษตรกร 38 ล้านบาทต่อปี (ปี 2562)
(อ้างอิง: โครงการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพของผลผลิตกาแฟอราบิก้าโครงการหลวง, สำนักวิจัย: 2562)
การวิจัยและพัฒนากาแฟอาราบิก้าเพื่อสนับสนุนโครงการหลวง
1. คัดเลือกสายพันธุ์กาแฟอราบิก้าพิเศษ เจริญเติบโตดี ต้านทาน/ทนทาน ต่อโรคราสนิม
2. ศักยภาพทางการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟของโครงการหลวงและสถาบัน
3. วิธีการแปรรูปที่แบบเปียกและกึ่งเปียก ด้วยการหมักแห้ง 16 ชั่วโมง
4. ศึกษาคุณภาพผลผลิตกาแฟแต่ละแหล่งผลิต 20 แห่ง
5. ระบบการปลูกและการจัดการสวนที่เหมาะสมบนที่สูงเชิงอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้
6. การจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อการให้ผลผลิตและคุณภาพ
7. การเพิ่มผลผลิตและคุณภาพด้วยวิธีการตัดเพื่อสร้างลำต้นใหม่
8. การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูกาแฟ
ความสำเร็จจากการนำองค์ความรู้ด้านกาแฟคุณภาพไปสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง
กาแฟคุณภาพดีเยี่ยมโครงการหลวง 5 สายพันธุ์
กาแฟคั่วที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแหล่งผลิต (Single origin) 3 แห่งผลิตคือ ห้วยโป่ง แม่ลาน้อย และแม่สลอง
พื้นที่โครงการหลวง 22 ศูนย์ฯ:
- 8,820 ไร่, เกษตรกร 1,598 ราย ระบบ GAP, เกษตรกร 1,519 ราย พื้นที่ 8,461.3 ไร่ กาแฟกะลาปีละ 500-800 ตัน มูลค่าเงินคืนเกษตรกร ปีละ 90 ล้านบาท
พื้นที่สถาบัน 22 ศูนย์ฯ:
10 ศูนย์ ของสถาบันเชื่อมโยงผลผลิตผ่านโครงการหลวงจำนวน 179 ตัน มูลค่า 20.3 ล้านบาท และตลาดอื่นๆ มูลค่า 21.2 ล้านบาท
(อ้างอิง: โครงการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพของผลผลิตกาแฟอราบิก้าโครงการหลวง, สำนักวิจัย: 2562)