ชุมชนบนพื้นที่สูงของไทยส่วนใหญ่ปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยทำนาได้ปีละครั้ง เพราะต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก วิธีการปลูกข้าวจะยึดถือภูมิปัญญาและธรรมชาติ นิยมปลูกพันธุ์ข้าวท้องถิ่น ปัจจุบันพื้นที่สูงเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตรเนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น กลุ่มคนหนุ่มสาวนิยมไปทำงานรับจ้างในเมือง จึงส่งผลทำให้แรงงงานในการทำนาน้อยลง หากนำเทคโนโลยีการปลูกข้าวที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่สูงมาปรับใช้ ก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่ม
นา “ปากล้า” เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่คล้ายกับการทำนาโยน แต่ได้พัฒนาเทคนิคการเตรียมแปลงและวิธีการปลูกอย่างประณีต ซึ่งสามารถกำหนดระยะปลูกของต้นข้าวได้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อความสะดวกในการจัดการแปลงโดยเฉพาะการกำจัดวัชพืชและกำจัดต้นพันธุ์ปน มีขั้นตอนดังนี้
ผลการทดสอบวิธีการปลูกข้าวแบบนาปากล้า ในฤดูนาปี พ.ศ. 2564 พบว่า พื้นที่นา 1 ไร่ โดยเฉลี่ยใช้ถาดกล้า 30 ถาด เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใช้ 6.3 กิโลกรัม จำนวนแรงงานปลูก 4 คน ระยะเวลาปลูก 1 ชั่วโมง 50 นาที และผลผลิตข้าวเฉลี่ย 650 กิโลกรัม
ผลการเปรียบเทียบด้วยวิธีปากล้าและวิธีปักดำ (ปลูกกล้าข้าวอายุ 40-50 วัน) พบว่า ผลผลิตข้าวต่อไร่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตัวอย่างเช่นผลผลิตข้าวพันธุ์บือชอมี (ไก่ป่า) ปลูกทดสอบพื้นที่แม่สะป๊อก (ระดับความสูง 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) วิธีปากล้าให้ผลผลิต 640 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับวิธีปักดำให้ผลผลิต 520 กิโลกรัมต่อไร่
ข้อดีการทำนา“ปากล้า”