ปลูกกัญชงผลิตเมล็ดเพื่อการบริโภค

ปลูกกัญชงผลิตเมล็ดเพื่อการบริโภค

 

 

 

           เมล็ดกัญชง นอกจากจะใช้ปลูกเป็นเมล็ดพันธุ์ (Seed) แล้ว ยังสามารถนำมาบริโภคได้ ทั้งเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นเครื่องสำอางช่วยบำรุงผิวพรรณ ด้วยเมล็ดกัญชงมีน้ำมันและโปรตีนสูง มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในอัตราส่วน 3 : 1 มีวิตามิน C วิตามิน E  ธาตุแมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็ก จึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร : เครื่องดื่ม น้ำมันพืช อาหารเสริมสุขภาพ เต้าหู้โปรตีน เนย ชีส พาสต้า คุกกี้ ขนมปัง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรูปแบบต่างๆ เช่น ครีม ซีรั่ม โลชั่น สบู่ แชมพู ลิปบาล์ม

          มูลค่าของเมล็ดกัญชงในตลาดโลกในปี พ.ศ. 2563 จัดเป็นอันดับ 2 ของส่วนต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.37 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท สำหรับในประเทศไทย มีการประเมินว่า ใน 5 ปีข้างหน้า จะมีการเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ อาหารและเครื่องดื่ม แต่จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลปัจจัย และเงื่อนไขทั้งด้านการผลิตและการตลาด และวิธีการปฏิบัติ เพื่อวางแผนการผลิตและจำหน่ายอย่างรอบคอบด้วย

           กัญชงพันธุ์ RPF1-4 มีปริมาณน้ำมัน 28-29% โปรตีน 21-23%  กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในอัตราส่วน 3 : 1 รวมทั้งมีธาตุอาหารสำคัญครบถ้วนเช่นเดียวกับพันธุ์กัญชงในต่างประเทศ และที่สำคัญคือ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย

           พันธุ์แนะนำ สำหรับการปลูกผลิตเมล็ดเพื่อการบริโภค คือ RPF1 และ RPF3 เนื่องจากสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทั่วไปได้ดี และมีปริมาณสารเสพติด THC ต่ำ แม้จะปลูกในสภาพที่มีอากาศร้อน ที่ทำให้ปริมาณ THC เพิ่มสูงขึ้นได้ ก็ยังไม่ไม่เกินปริมาณ 1.0% ตามที่กฎหมายกำหนด

 

 

           ฤดูกาลปลูก มีผลต่อการผลิตมมาก เนื่องจากกัญชงส่วนใหญ่ตอบสนองต่อช่วงแสงที่แตกต่างกัน สำหรับพันธุ์ RPF1 และ RPF3 ตอบสนองต่อช่วงวันสั้น (กลางวันสั้นกว่ากลางคืน) นั้นหมายความว่า ทั้งสองพันธุ์ จะออกดอกเฉพาะในช่วงวันสั้น หรือ ฤดูหนาว ที่มืดเร็ว หรือประมาณเดือน ต.ค.- ก.พ. ของทุกปี ดังนั้น การวางแผนการปลูกและเก็บเกี่ยว จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยและมีเทคนิคการปลูกต่างๆ เช่น

  •            - ปลูกเร็ว ประมาณช่วง มี.ค.- พ.ค. : ควรปลูกห่าง เพราะกัญชงจะมีเวลาเจริญเติบโตทางลำต้นมาก สามารถแตกกิ่งก้านได้มาก ลำต้นใหญ่ อาจสูงถึง 5 เมตร เส้นรอบวงลำต้น 20 เซนติเมตรหรือมากกว่าเลยทีเดียว
  •            - ช่วงปลูกที่แนะนำ เดือน มิ.ย.- ก.ค. : กัญชงจะมีเวลาเจริญเติบโตทางลำต้นประมาณ 3 เดือน และจะออกดอกประมาณปลาย ก.ย.-ต.ค. ระยะปลูกประมาณ 1x1 เมตร
  •            - ปลูกช้า หรือ ปลูกช่วงวันสั้น ประมาณช่วง ส.ค.-ก.พ. ควรปลูกถี่ เพราะกัญชงจะมีเวลาเจริญเติบโตทางลำต้นค่อนข้างน้อย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นเล็ก จะเข้าสู่ช่วงการออกดอกเร็ว ระยะปลูกปรับลดลงอาจใช้ 75x50 ซม., 50x50 ซม. หรือต่ำกว่า
               - สภาพดิน กัญชงชอบดินดี รวนซุย ระบายน้ำดี ดังนั้นการปลูก ให้ยึดหลัก ดินเลวปลูกถี่ ดินดีปลูกห่าง และหากปลูกฤดูฝน ควรทำร่องระบายน้ำ
  •            - ช่วงเดือนแรก ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ช่วยกำจัดวัชพืช พูนโคน เพราะกัญชงจะอ่อนแอมาก แข่งกับวัชพืชไม่เก่ง
  •            - การเก็บเกี่ยว ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องเก็บเกี่ยวเมล็ดกัญชงในสภาพาการเพาะปลูกแปลงย่อยแบบในประเทศไทย ยังคงใช้แรงงานคน ในการตัดช่อเมล็ด ที่สุกแก่เป็นสีน้ำตาลประมาณ 70% แล้วมัดเป็นกำ ตากลดความชื้น แล้วหวด นวด ฝัด ทำความสะอาดเมล็ด และตากลดความชื้นเช่นเดียวกับพืชไร่ทั่วไป
  •            - ศัตรูสำคัญ เช่น นกจิกกินเมล็ดและต้นอ่อน หากน้ำขัง อากาศชื้นติดต่อกัน มักเกิดโรครากเน่าโคนเน่า สามารถหลีกเลี่ยงโดยการเพาะต้นกล้า อายุ 15 วัน ในถาดเพาะแล้วย้ายลงปลูก และยกร่องระบายน้ำ หรือการคลุกเมล็ดด้วยชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค
  •            - การใช้พันธุ์ต่างประเทศ ควรพิจารณา ปัจจัยการผลิตที่จำเป็นสำหรับพันธุ์นั้นก่อน เช่น เป็นพันธุ์สำหรับการผลิตเมล็ด การตอบสนองต่อช่วงแสง ปริมาณสารเสพติด ผลผลิต/พื้นที่

 
เขียน / เรียบเรียงเรื่องโดย:
ดร.สริตา ปิ่นมณี
source!='') { ?>
แหล่งที่มา / เอกสารอ้างอิง:

ข้อมูลนี้เป็นที่น่าพึงพอใจหรือเป็นประโยชน์สำหรับท่านหรือไม่
 

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง