ในปัจจุบัน พื้นที่สูง กำลังเผชิญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ดินเสื่อมโทรม สารพิษปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ำธรรมชาติ หมอกควัน พื้นที่ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพของพรรณพืชลดลง รวมถึงภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก สาเหตุส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมมนุษย์ที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินพอดี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงอยู่และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ต้นไม้ แม้เพียงหนึ่งต้น ให้ประโยชน์มากมายหลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น
1. ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้เฉลี่ย 9 - 15 กิโลกรัม/ปี
2. ดักจับฝุ่นและมลพิษในอากาศ ได้ 1.4 กิโลกรัม/ปี
3. ดูดซับความร้อนจากบรรยากาศและลดอุณหภูมิรอบบ้านลงได้ 2-4 °C
4. สามารถปล่อยก๊าซออกซิเจน (O2) ได้ถึง 200,000 – 250,000 ลิตร/ปี ซึ่งรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจน ของมนุษย์ได้ถึง 2 คน/ปี
5. ดูดซับก๊าซที่เป็นพิษต่อร่ายกายมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ก๊าซชัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เป็นต้น
6. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อาหาร และยารักษาโรค และเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศ
7. รากต้นไม้ช่วยยึดดิน ดูดซับน้ำและแร่ธาตุ ช่วยป้องกันการพังทลายจากดินถล่ม รวมถึงการ
กักเก็บน้ำไว้บริเวณผิวดิน
" ตามมาดูกันว่า..... มีพรรณไม้หรือพรรณพืช ชนิดไหนบ้าง ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ
ดักจับฝุ่น"
ลักษณะของพรรณไม้ที่ช่วยดักจับฝุ่น และช่วยกรองอากาศ ควรเป็น
• ไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มที่ใบมีลักษณะเรียวเล็ก มีผิวหยาบหรือมีขนและเหนียว จะมีประสิทธิภาพมากกว่าผิวเรียบมัน
• ต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบจะมีประสิทธิภาพดีกว่าไม้ผลัดใบ
• พืชที่มีผิวใบโดยรวมมากกว่าจะสามารถดักจับฝุ่นละอองได้มากกว่าพืชที่มีผิวใบน้อย ดังนั้น ต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มที่มีใบขนาดเล็กจำนวนมากจึงมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละอองสูงกว่าต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่
ได้แก่ ไผ่รวก พฤกษ์ ขี้เหล็กเลือด ปอกระสา ตะลิงปลิง โมกหลวง โมกมัน
สกุลชงโค ขี้เหล็กบ้าน ตะแบก อินทนิล เสลา จามจุรี ประดู่ กัลปพฤกษ์ สัก แคแสด ชมพูพันธุ์ทิพย์พังแหร
การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบพืชกรองน้ำเสีย อาศัยหลักการใช้ดินเป็นตัวกรองของเสีย และจุลินทรีย์ในดินทำหน้าที่เป็นตัวย่อยของเสีย โดยของเสียที่ย่อยแล้วพืชจะเป็นตัวดูดเอาไปใช้ในการเติบโต ทำให้ของเสียเปลี่ยนเป็นมวลชีวภาพ น้ำเสียที่ผ่านระบบจะมีคุณภาพดีและสามารถระบายสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้ได้แก่ เหงือกปลาหมอ เตยหอม ว่านน้ำ
- การเลือกพืชยึดดินเพื่อป้องกันการกัดเซาะและดินถล่ม ควรพิจารณาทั้งความสามารถในการยึดดิน ได้แก่ กำลังดึงของรากพืชและความหนาแน่นของราก ร่วมกับแนวพระราชดำริการปลูกป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง
- พรรณไม้ที่มีแรงดึงรากสูงที่สุด เช่น อโวคาโด ตะไคร้ต้น จันทร์ทองเทศ กาแฟ แฝก
- พรรณไม้ที่มีแรงดึงรากระดับกลาง เช่น การบูร ตองแตบ ส้มผด กำลังเสือโคร่ง แคฝรั่ง มะขาม และกระท่อมหมู
- พรรณไม้ที่มีแรงดึงรากระดับต่ำ แต่มีความหนาแน่นของรากมาก เช่น ถั่วมะแฮะ ราชาวดีป่า
ลักษณะของพรรณไม้ที่ปลูกเป็นแนวกันลม ควรเป็นต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบ มีเรือนรากลึก มีเรือนยอดหนาแน่น มีความยืดหยุนของลำต้น มีความสูงเพียงพอ กิ่งไม่เปราะและไม่ทิ้งกิ่งง่าย สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นอกเหนือจากใช้เป็นแนวกันลม ได้แก่ ไผ่ กระถินณรงค์ กระถินเทพา สะเดาไทย สะเดาอินเดีย ขี้เหล็กบ้าน มะขาม มะขามเทศ ข่อย ฝาง
โดยทิศทางที่จะปลูกเป็นแนวกันลมนี้ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าอยู่ในแนวขวางกับทิศทางที่ลมพัดผ่านเป็นประจำ
ประโยชน์ของไม้บังลม
ทนไฟ
ลักษณะของพรรณไม้-พรรณพืช ที่ต้านทานหรือทนทานต่อไฟ
พรรณไม้ที่มีระบบรากทนต่อการถูกแช่น้ำ ยึดเกาะตลิ่งได้ดีและช่วยชะลอความเร็วของน้ำ ได้แก่ สนุ่น ตะเคียนทอง ยางนา กระทุ่ม ก้านเหลือง ตาเสือ กุ่มน้ำ มะตาด จิกนา เต่าร้าง มะเดื่ออุทุมพรไคร้น้ำ ไคร้ย้อย เติม สมพง ลำพูป่า ยมหอม พระเจ้าห้าพระองค์ มะเนียงน้ำ หว้า ไผ่