โลกร้อน...กับเกษตรบนดอย
ปี พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050) มีการคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.8 พันล้านคน อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรจะเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียสจากสภาวะโลกร้อน (Global warming) ขณะที่พื้นที่ที่ใช้เพาะปลูกมีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ ส่งผลต่อพืชอาหารที่จะเลี้ยงประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงคือ สภาวะจากสิ่งไม่มีชีวิต (Abiotic stress) เช่น สภาพความร้อน ความเย็น ความแห้งแล้ง ความเค็มของดิน โลหะหนัก ที่ทำให้ผลผลิตเสียหายถึง 50-80% และสภาวะจากสิ่งไม่มีชีวิต (Biotic stress) เช่น โรคพืช แมลง วัชพืช มนุษย์จากการใช้สารเคมีเกษตร ซึ่งทำให้ผลผลิตเสียหาย 5-20%
ภาวะโลกร้อน คืออะไร… ภาวะโลกร้อนคือ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรโดยมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพบว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา คือ พ.ศ.2448-2548 อุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวดินทั่วโลกมีค่าสูงขึ้น 0.74 องศาเซลเซียส สภาพอากาศที่ร้อนจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นทำให้เกิดภัยธรรมชาติ ทั้งสภาวะแห้งแล้งที่รุนแรง ยาวนาน ปริมาณฝนที่ลดลงหรือเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ความต้องการใช้น้ำของพืช ความชื้นในดิน คุณภาพของดินที่ใช้เพาะปลูก รวมถึงการเกิดโรคและแมลงศัตรูพืชที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีพของมนุษย์
สำหรับประเทศไทย มีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียสในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลผลิตการเกษตรโดยตรงเนื่องจาก ร้อยละ 75 เป็นการทำการเกษตรแบบอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ สำหรับพื้นที่สูงของไทย มีรายงานการศึกษาพบว่ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสในอีก 50 ปีข้างหน้า โดยค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิสูงสุดมีแนวโน้มลดลง ขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดมีแนวโน้มสูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนรวมต่อปีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ในพื้นที่ของมูลนิธิโครงการหลวงพบการผันแปรของสภาพอากาศระหว่างปีค่อนข้างสูง และกระทบต่อพัฒนาการ การให้ผลผลิตของพืช โดยเฉพาะไม้ผลและพืชผักเขตหนาว ปัจจัยซึ่งได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน จำนวนวันที่มีฝนตก สมบัติของดินทางกายภาพ เคมี ความชื้นในดินในแต่ละช่วงของปี รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา แต่ละพื้นที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของผลผลิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น การวางแผนกลยุทธการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรทั้งโดยภาครัฐเอกชน และเกษตรกร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศทั้งระยะสั้นและระยะยาวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีแนวทางดังนี้
ดังนั้น การวิจัยศึกษาด้านสภาพภูมิอากาศและการวิจัยพืช เทคโนโลยีต่างๆ ที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการสร้างการรับรู้ของสถานการณ์ และศึกษาวิธีการ กลยุทธ์การปรับตัวของเกษตรกรที่สามารถนำไปใช้ได้ เราต้องเริ่มจากการพัฒนาฐานข้อมูลภูมิอากาศในพื้นที่แต่ละแห่งให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และต่อเนื่อง มีฐานข้อมูลพืชบนพื้นที่สูง เลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมกับพืชให้กับเกษตรกร และใช้เทคโนโลยีการผลิตพืชที่เหมาะสมกับพืช พื้นที่ และความพร้อมของเกษตรกร เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานในภาคเกษตรทั้งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมและเกษตรกร และนำไปสู่การตัดสินใจของเกษตรกรในการเลือกปลูกพืชบนพื้นที่สูงได้